เมื่อ “ให้” แล้วใจยิ้ม ย่อมดีกว่า “อิ่ม” แล้วใจบูด
การให้ คือ วิธีการข่มโลภะจิต (จิตที่ยึด หวง และเหนี่ยวรั้งเพื่อตัวเอง) ที่พระพุทธองค์ทรงปรารภเรื่องดังกล่าวเมื่อครั้งพุทธกาล ทรงเรียกจิตประเภทนี้ว่า มัจเฉรจิต – จิตตระหนี่
“จิต” จะคิดดีงามหรือเลวปานใด เมื่อไม่ปรากฎเป็นการกระทำ ใครก็มิอาจล่วงรู้ เว้นแต่เจ้าตัว จะรู้เองว่าขณะนั้น มีสภาวะจิตเป็นคิดบวกหรือคิดลบ ยิ้มกริ่ม เศร้าซึม หรือวิตกกังวลเรื่องใด เรื่องนั้นๆ จะปรากฏชัดในใจของผู้ที่คิดก่อนคนอื่นเสมอ
เมื่อจิต คิดจะให้และแบ่งปันแก่ผู้อื่น เช่นการให้ข้าวของ การให้อภัย การให้ความรัก ความปรารถนาดี การให้ความเอื้อเฟื้อ ให้ความเกื้อกูลกัน บานประตูแห่งความเบิกบานและความปลื้มปีติ จะถูกเปิดออกจนกลายเป็นใจยิ้ม เป็นความสง่างามในเรือนใจ ตามนัยคำสอนของพระพุทธองค์
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ เป็นการให้อย่างมีเหตุผล เหมาะควรต่อสถานการณ์และสถานภาพ มิใช่เพราะซ่อนเงาผลประโยชน์ มากกว่าการผดุงคุณธรรมของผู้ให้ คือ ความมีใจอารีย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (