แบบกรอกประวัติวัด
วัด
บรรพตาวาส ชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่า
วัดเขากระจิว .
ชื่อเดิม(ถ้ามี) - ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๙๓ .
ถนน
- ซอย
- บ้าน เขากระจิว หมู่ที่
๖ .
ตำบล ท่ายาง อำเภอ ท่ายาง จังหวัด เพชรบุรี .
สังกัดคณะสงฆ์ (-) มหานิกาย (ü) ธรรมยุต
การตั้งวัด
๑.กรณีที่เป็นวัดที่ตั้งขึ้นก่อนที่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ ซึ่งเป็นวันที่กฎกระทรวงศึกษาธิการออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มีผลบังคับใช้ ได้ตั้งวัดเมื่อ
๒.ถ้าเป็นวัดที่ตั้งขึ้นหลัง วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด
เมื่อวันที่ - เดือน พ.ศ. - กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ตั้งเป็น
วัดเมื่อ วันที่ - เดือน - พ.ศ. ๒๕๔๔๐
ครั้งที่ ๑ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๓๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙
เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๘ วา ๑ คืบ ยาว ๑๓ วา ๑ ศอก
ครั้งที่ ๒ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๑ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๔๐ วา ยาว ๘๐ เมตร
ที่ดินเฉพาะบริเวณที่ตั้ง มีเนื้อที่
๓๗ ไร่
- งาน
- ตารางวา
ได้มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็น ( -) โฉนด ( - ) น.ส.๓ (-) ส.ค.๑ เลขที่
- .
กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็น ( ü) วัด เอกชน (-) ราชการอยู่ในเขต (-) ป่าสงวน (-) สาธารณะประโยชน์ (-) ราชพัสดุ (-) อื่น ๆ (ระบุ)
อาณาเขต
ทิศเหนือ ยาว
๔ เส้น
- วา
– ศอก จด
หมู่บ้านเขากระจิว
ทิศใต้ ยาว
๓ เส้น ๓ วา ๓ ศอก จด
ภูเขากระจิว
ทิศตะวันออก ยาว
๕ เส้น ๙ วา
๓ ศอก จด
ภูเขากระจิว
ทิศตะวันตก ยาว
๖ เส้น ๑๓ วา
๒ ศอก จด
หมู่บ้านเขากระจิว
ที่ธรณีสงฆ์ (ไม่รวมกับที่ดินตั้งวัดข้างต้นนี้) มี แปลง รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น
๕๕ ไร่
๗๐ งาน
๓๒๔ ตารางวา คือ
๑.แปลที่ ๑ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ - ไร่
๒ งาน
- ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๙๕๕๓
๒.แปลที่ ๒ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๒ ไร่
๓ งาน
๑๐ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๐๔๓ .
๓.แปลที่ ๓ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
แขวงราชาธิวาส อำเภอ
ราชาธิวาส .
จัดหวัด
พระนคร มี
เนื้อที่ ๑๑ ไร่
๑ งาน
๘ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๙๕๕๓ .
๔.แปลที่ ๔ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๖ ไร่
๓ งาน
๓๖ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๗๐๒๕ .
๕.แปลที่ ๕ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
มาบปลาเค้า อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๖ ไร่
๕๓ งาน
- ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๓๐๔๐ .
๖.แปลที่ ๖ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
มาบปลาเค้า อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๗ ไร่
๒ งาน
๕๗ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๓๐๔๑ .
๗.แปลที่ ๗ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๑ ไร่
๒ งาน
๖๖ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๙๕๕๓
๘.แปลที่ ๘ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๑๑ ไร่
๓ งาน
๕๗ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๑๒๔๒ .
๙.แปลที่ ๙ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๗ ไร่
๒ งาน
๙๘ ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๓๑๙๖๙ .
๑๐.แปลที่ ๑๐ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
มาบปลาเค้า อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๘ ไร่
๒ งาน
- ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๑๙๕๕๓
๑๑.แปลที่ ๑๑ ตั้งอยู่ที่ ตำบล
ท่ายาง อำเภอ
ท่ายาง .
จัดหวัด
เพชรบุรี มี
เนื้อที่ ๗ ไร่
๒ งาน
- ตารางวา
มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ
โฉนดที่ดิน เลขที่
๘๓๓๙ .
ลักษณะพื้นที่ตั้งวัดและบริเวณโดยรอบ
ด้านทิศเหนือติดหมู่บ้านเขากระจิว ด้านทิศตะวันตกติดหมู่บ้านเขากระจิว ด้านทิศตะวันออกติดภูเขากระจิว ด้านทิศตะวันตกติดภูเขาน้อยกระจิว พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ติดชุมชนหมู่บ้านเขากระจิว .
อาคารเสนาสนะต่าง ๆ (หากมีจิตรกรรมฝาผนังให้ระบุไว้ด้วย) มี
อุโบสถ กว้าง
๔๐ เมตร ยาว
๘๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.
๒๕๑๒ . เป็นอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็ก , หลังคามุงกระเบื้องโครงหลังคาไม้เนื้อแข็ง .
ศาลาการเปรียญ กว้าง
๑๔ เมตร ยาว
๕๒ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.
๒๕๒๕ . เป็นอาคาร
ครึ่งปูนคอนกรีตเสริมเหล็กครึ่งไม้เนื้อแข็ง. .
อาคารพิพิธภัณฑ์ กว้าง
๑๙.๓๐ เมตร ยาว
๑๙.๓๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.
๒๕๓๔ . เป็นอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็ก จตุรมุขทรงไทยประยุกต์ จำนวน ๑ หลัง .
หอสวดมนต์ กว้าง
- เมตร ยาว
- เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.
- . เป็นอาคาร
- สร้างเมือ พ.ศ
. .
กุฎิสงฆ์ จำนวน
๑๒ หลัง เป็นอาคารไม้ ๑๐ หลัง ครึ่งปูนครึ่งไม้ - หลัง
และตึก ๒ หลัง วิหาร กว้าง - เมตร ยาว - หลัง สร้างเมื่อ พ.ศ. .
ศาลาเอนกประสงค์ กว้าง
- เมตร ยาว
- หลัง สร้างเมื่อ พ.ศ.
.
เป็นอาคาร หลัง สร้างเมื่อ พ.ศ.
.
ศาลาบำเพ็ญกุศล จำนวน ๑ หลัง สร้างด้วยคอนกรีต - หลัง สร้างด้วยไม้ฉาบปูน
นอกจากนี้มีอาคารเสนาเสนะต่าง ๆ ดังนี้ คือ .
.
ปูชนียวัตถุและโบราณวัตถุ (โดยกล่าวอย่างละเอียด ถึงลักษณะขนาดและปี พ.ศ. ที่สร้างของปูชนียวัตถุ หรือโบราณวัตถุ เช่น ประธาน พระพุทธรูปต่าง ๆ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เจดีย์ปรางค์ และของมีค่าอื่นอันเป็นสมบัติยองวัด)
โบราณสถานและโบราณวัตถุ ภายวัด พระอุโบสถ
พระอุโบสถหลังแรก เริ่มสร้างในปี พ.ศ. – เป็นพระอุโบสถสองชั้นหลังแรกในประเทศไทยซึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ พระพุทธศาสนกาล ๒๔๔๙ พรรษา เปนวันที่ ๑๓๗๑๕ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ ปี มะเมีย จ.ศ.๑๒๖๘ ปีที่ ๓๙ รัชสมัย รัชกาลที่ ๕
ความจำเป็นที่ต้องสร้างพระอุโบสถเป็นสองชั้น เนื่องจากพื้นที่ทั่วไปของวัดเป็นที่ราบลุ่มในฤดูฝนน้ำหลากมามากมีน้ำท่วมใหญ่ทุกปี โดยระดับน้ำจะสูงประมาณ ๒-๓ เมตร จึงต้องสร้างเพื่อยกระดับพื้นให้พ้นจากน้ำ
ตำราทำปูนให้การก่อสร้าง จากภูมิปัญญาของคนเมืองเพชร ชนชาวเมืองเพชรมีภูมิปัญญา ในการทำปูนขาวขึ้นใช้ในการก่อสร้าง ทั้งปูนก่อ ปูนโบกและปูนปั้นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาแต่ดึกดำบรรพ์
พระเทพวงศ์จารย์(อิน อินฺทโชโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดยาง และอดีตเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี(มหานิกาย) ซึ่งวัดยางนี้ในวงการศึกษาถือว่าโรงเรียนสารพัดช่างแห่งแรกของเมืองเพชร ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อได้เล่าถึงตำราเก่าแก่ของเมืองเพชรในการทำปูนก่อสร้าง ตั้งแต่เรายังไม่มีซีเมนต์ใช้ดังนี้
ปูนที่ใช้ในการก่อสร้างสมัยก่อนคือปูนขาว ทำจากการเผาหินก้อนเขื่อง ๆ พอคนยกไหวสกัดจากภูเขาด้วยการเจาะด้วยเหล็กเจาะ แล้วเอาสายชนวนพร้อมด้วยดินระเบิดกรอกใส่ลงไปจุดไฟให้ระเบิดแตกออกแล้วเอาไปกองรวมกันในเตาสำหรับเผา ก่อไฟเผา ทั้งวันทั้งคืนกว่าจะสุก แล้วหินทั้งหมดจะกลายเป็นสีขาวแล้วเอาน้ำรดหินก็จะแตกออกเป็นผุยผงสีขาว
ต่อจากนั้นทำคอกหมักปูนขาวเพื่อให้เหนียว นำปูนขาวทั้งหมดใส่ลงในคอกนำทรายที่ร่อนจนละเอียดที่สุดแล้วผสมลงไปตามสัดท่านที่ต้องการ หั่นหนังวัวให้บาง ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ให้มากพอแล้วแล้วใส่ลงไปด้วยรดน้ำและเคล้าเรื่อยไปให้ทั่ว ใช้เวลาในการหมักเป็นเดือน ปูนขาวนั้นก็จะค่อย ๆ เหนียวขึ้น จนสามารถจนไปใช้ได้ตามต้องการ
หากจะทำเป็นปูนปั้นลวดลายต่าง ๆ ให้ผสมน้ำตาลโตนด และกระดาษฟางลงไปหรือใช้น้ำอ้อยด้วย แล้วโขลกตำให้เหนียว แล้วคนด้วยไม้และสากตำข่าวเปลือกขนาดใหญ่ต้องตำกันอย่างหนักด้วยคนรูปร่างกำยำล่ำสันสักหน่อย เพื่อให้ได้ปูนตำที่ละเอียดโบกได้เรียบ ปั้นลาวลายได้อ่อนช้อยสวยงาม
หากว่าต้องการให้ผิวอาคารเป็นมันเลื่อนให้ใช้ใบตองแห้งจากต้นกล้วยมาเผาไฟให้เป็นขี้เถ้าผสมใสในขณะโขลกปูนด้วย เมื่อโบกผิดเรียบแห้งแล้วผิวจะเรียบขึ้นมัน หากใช้ขวดแก้วขนาดจับพอเหมาะมือขัดไป-มาบนผิวปูนนั้น ผิวก็จะเกลี้ยงเป็นในชัดขึ้นมา
ลักษณะของพระอุโบสถ “วัดบรรพตาวาส” นั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบ ยุโรป ผสมผสานไทย-จีน แต่ไม่ได้เน้นความสวยงามด้วยศิลปะลวดลายเท่าใดนั้น กลับเน้นทางด้านคุณประโยชน์มากกว่า ซึ่งคงจะเกิดจากเจตนารมณ์ของท่านผู้สร้าง ว่าสร้างวัดถวายพระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระมาใช้คันถธุระ จึงไม่ได้เน้นความสวยงามเท่าใดนัก คงเน้นด้านคุณประโยชน์เท่านั้น
การที่พระอุโบสถแบบนี้จะมีหน้าต่าง ๔ ช่อง ก็ดูไม่แปลก แต่การที่มีประตูหน้าข้าง คือทางทิศเหนือและทิศใต้ ตรงช่วงกลางของผนังแต่ไม่มีบันไดสำหรับเดินลงนั้นดูแปลก แม้พระ-เณรทุกวันนี้บางรูปก็ไม่เข้าใจ มักคิดว่าทำไมจึงทำหน้าต่าง ช่องนี้ ใหญ่โตเหมือนประตู
ประตูด้านข้างทั้งสองประตู จะเจาะตรงกับอาสนะยกพื้นสำหรับพระสงฆ์นั่งพอดี การทำไว้ดังนี้ เพื่อเปิดใช้ในยามที่น้ำหลากท่วมวัด พระ-เณรจะได้นั่งเรือ เข้าจอดเทียบประตูพระอุโบสถ เข้า-ออกได้สะดวกไม่ต้องเบียดเสียด กับประชาชน ชาย-หญิง ที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่างทางด้านหน้าพระอุโบสถ
มีผู้กราบทูลสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณโรรส เมื่อครั้งที่เสด็จทรงประทานนามวัดและประทับแรมที่วัดนี้ ถึงสภาพพระอุโบสถ และพื้นที่ทั่วไปภายในบริเวณวัด จึงได้ตรัสแนะนำให้สร้างพระอุโบสถใหม่บนภูเขานั้นจะได้พ้นจากน้ำท่วม การสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ตามพระดำรัสแนะนำนั้นได้สำเร็จเสร็จสิ้นลง ในสมัยของหลวงพ่อพระครูโสภิตธรรมาภรณ์(เจ้าอาวาส) พ.ศ.๒๕๑๒-๒๕๒๖
พระประธาน
ในพระอุดโบสถ์เก่าของวัด มีพระพุทธปฏิมาประธานขนาดใหญ่ถึง ๓ องค์ ทางซ้ายมือหรือด้านทิศใต้จะมีฉัตรทองเหลือกั้นอยู่เหนือพระเศียร เป็นพระพุทธรูปหล่อจากทองเหลืออัญเชิญมาจากกรุงเทพฯ เป็นพระประธานสมัยที่หลวงพ่อพระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน เป็นเจ้าอาวาส มีขนาดหน้าตัก ๒ ศอกคืบ ส่วนองค์กลางซึ่งใหญ่กว่าองค์อื่น ๆ นั้น ขนาดหนาตัก ๓ ศอก และองค์ทางขวามือหรือด้านทิศเหนือขนาดหน้าตัก ๒ ศอกคืบ เป็นพระปูนปั้นทั้งสององค์ เป็นพระประธานที่สร้างขึ้นในสมัยหลวงพ่อพระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน เป็นเจ้าอาวาส
ชรอยพุทธบริษัทที่เป็นศิษย์ของวัดบรรพตาวาสตั้งแต่รุ่นแรกที่สร้างวัดมา จะได้รับการศึกษา อบรมให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสยิ่งในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า จึงมากันนิยมสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถ ด้วยถือว่าเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน จะได้ระลึกถึงพระพุทธรูปไปจนตาย ตามแล้วไม่ไปเกิดในอบายภูมิ ด้วยจิตเป็นสมาธิมั่งคงในพระพุทธานุสตินั้น และจะเป็นปัจจัยไปสู่พระนิพพานในที่สุด แต่หากยังมีภพชาติอยู่ ถ้าจะเกิดมาเป็นที่ผู้มีศักดิ์ศรี มีอำนาจวาสนาบารมีสูง มีอิทธิพลมาก เป็นที่เคารพนับถือเกรงกลัวของชนทั่วไป ด้วยนั้นจึงไม่มีใครคิดสร้างพระอัครสาวก ซ้าย-ขวาเลย จวบจนในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จึงได้มีการสร้าง อัครสาวกซ้าย-ขวา
อระฆัง
เป็นที่น่าเสียดายว่าหอระฆังเดิม คงมีให้เห็นเพียงแต่รูปภาพเท่านั้น อันเป็นศิลปะผสมผสานระหว่างไทย-จีน-ยุโรป ซึ่งเป็นการก่อสร้างโดยเสด็จพระราชกุศล ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทแห่งพระราชวิเทโศบาย ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ อันทรงต้องการให้เมืองเพชรบุรีเจริญรุ่งเรืองด้วยสิ่งก่อสร้าง อันเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปผสมผสานไทยจีน
แต่ทั้ง ๆ ที่ถาวรวัตถุนี้ มิได้สร้างขึ้นแกะกะกีดขวางหรือบังถาวรวัตถุสิ่งก่อสร้างอื่นใด แต่ก็กลับแกะกะกีดขวางสายตาของบุคคลบางซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่วางอำนาจบาทใหญ่เหนือเจ้าอาวาสในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นป่วยโรคอัมพาต พูดไม่ได้ ได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ น้ำตาซึมแก้มคือ หลวงพ่อ พระครูโสภิตธรรมาภรณ์ (ทอง สุมโน) แม้พระสงฆ์สามเณรรูปอื่น ๆ ในวัดก็มิบังอาจปริปากได้
ดังนั้นหอระฆังอันงดงามมากด้วยคุณค่าศิลปะวัตถุ จึงถูกทำลายลงในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ อันเป็นยุคทมิฬของวัดบรรพตาวาส(เขากระจิว)ทีเดียว
พระบรมธาตุเจดีย์ และอภินิหารของพระธาตุ
ไม่มีผู้ใดนอกจากหลวงพ่อพระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน เจ้าอาวาสองค์แรกของวัด ได้เริ่มก่อสร้างพระเจดีย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๖๒ โดยสีมือช่างเพียว จิวเซ่ง ต้นตระกูลจิวเซ่ง ชาวบ้านหมู่บ้านเขากระจิว ตามคำบอกเล่า นายเพลิน พาลีบุตร ซึ่งในขณะนั้นอายุได้ ๘๑ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ (ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว
ชาวบ้านหลายท่านในหมู่บ้านเขากระจิว เคยได้เห็นได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พระบรมธาตุเจดีย์ เหมือนกับคุณตอม เศรษฐบุตร ซึ่งมีที่พำนักอยู่ใกล้วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้มาพักที่บ้านใกล้เขากระจิว ก็ได้เห็นเหตุการณ์
(คำบอกเล่าของพระครูกัลยาณวุฒิกร อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๔)
หมอโฮม คำข้อง ชนชาวกระจิว อาชีพเลี้ยงควายและเป็นหมอรักษาโรคทางไทยศาสตร์เป็นผู้มีศีล ๕ เคร่งครัดตลอดชีวิต มีสัจจะในการดำรงชีวิตเฉพาะตน ก็เคยเห็นเคยทราบเหตุการณ์นี้ มาเช่นกัน นั่นคือในตอนกลางคืน ยามดึกสงัด จะมีแสงสว่างสีเขียวมรกตดวงกลมโตคอยช้า ๆ เวียนประทักษิณ(เวียนขวา) รอบยอดเขากระจิว ๓ รอบ แล้วหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์นั้น
หลวงพ่อพระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน ได้ทำการก่อสร้างพระธาตุเจดีย์นั้นโดยจ้างช่างชื่อ เจ็กเพียว จิวเซ่ง คนรูปร่างใหญ่ ร่างกายกำยำล่ำสันอยู่ในหมู่บ้านกระจิว ขนปูน หิน ทราย ขึ้นไปก่อสร้างพระธาตุเจดีย์ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๖๒
ลักษณะรูปทรงเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่มีฐาน ชั้น ตรงกลางจากฐานชั้นล่างเป็นลักษณะทรงกระบอกสูงขึ้นไป มีเสาโดยรอบทำเป็นซุ้มโค้ง แต่ไม่มีบันได้ขึ้นไปสู่ฐานชั้นบนได้ ซึ่งมีระเบียงโดยรอบ มีพื้นปูด้วยไม้มะค่าลิง องค์เจดีย์ตรงกลางเป็นรูปทรงระฆังคว่ำแบบธรรมดา ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นศิลปะแบบใดสมัยใด
มีการบูรณะพระเจดีย์เป็นครั้งใหญ่ ครั้งสุดท้าย เมื่อ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
สมัยพระครูกัลยาณวุฒิกร อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๔ มีการขุดค้นพบลังไม้ ๑ ลัง ซึ่งบรรจุคนโฑ ๑ ใบ อยู่ในเจดีย์ มีสิ่งที่มีลักษณะเหมือนเพชรหรือพลอยอีก ๑ เม็ด ซึ่งได้พบในสมัยหลวงพ่อพระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน เป็นเจ้าอาวาส
ในการบูรณะได้มีการเปลี่ยนพื้นไม้มะค่าลิง เป็นพื้นซีเมนต์ ตั้งแต่ฐานชั้นล่างตลอดถึงยอดเจดีย์โบกซีเมนต์ใหม่ทั้งหมด และมีการเปลี่ยนรูปทรง ตรงคอระฆังต่อกับส่วนยอดเจดีย์เล็กน้อย
เหลี่ยมกลมรอบเจดีย์เป็นลักษณะเหลี่ยมมลกลม เมื่อมีการบูรณะได้เปลี่ยนจากเหลี่ยมมลกลมเป็นเหลี่ยมกลางคม(ลักษณะตัววี) ราบขึ้นบนราบลงล่าง ตั้งแต่คอระฆังถึงฐานชั้นบนโดยรอบ
พระพุทธรูปในถ้ำ
เมื่อมีภูเขาก็ต้องมีถ้ำ เขากระจิวนี้มีถ้ำอยู่มากมายประมาณ ๓๐๐ กว่าถ้ำ แต่เท่าทีมีชื่อเรียกกันปรากฏอยู่เป็นภาษาไทยบ้าง ลาวบ้าง ซึ่งเป็นชาวบ้านแถบนั้น คือ ถ้ำเจ็กสุ่น, ถ้ำประทุม, ถ้ำเถรเก่ง, ถ้ำสั้ว, ถ้ำไทรหนองขาว, ถ้ำไทร, ถ้ำแป่วด่าง, ถ้ำแฝ่, ถ้ำโก่, ถ้ำแจงอยู่ท้ายเขา, ถ้ำสมิง, อยู่เคียงยอด ถ้ำถ้วยชาม, อยู่ใกล้หน้าผาหุ่นคน,(๒ คน) ถ้วยชาม, ที่อยู่ระหว่างถ้ำมืดและถ้ำสว่าง
ถ้ำที่มีความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน คงมีเพียง ๒ ถ้ำ คือ ถ้ำมืด, ถ้ำสว่าง, จะกล่าวถึงภายในถ้ำสว่างก่อน
เมื่อเดินขึ้นเขาจะต้องถึงถ้ำสว่างก่อน พระในถ้ำน้ำมีเป็นพระปูนปั้นเป็นพระพุทธรูปที่มีการก่อสร้างในสมัย หลวงพ่อ พระอธิการกฤติย์ ทสฺสโน ผู้ปกครองวัดซึ่งท่านได้ก่อสร้างทั้งหมด ๒๔๔๙-๒๔๗๓ ตามสำเนาเอกสารที่ พระอธิการกฤติย์ได้บันทึกเอาไว้ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๓
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๓ หลวงพ่อกฤติย์ ทสฺสโน ได้มีบันทึก ลายลักษณ์อักษรเป็นตัวหนังสือสั่งหลวงพ่อแผน ปภากโร ไปก่อนจะลาจากวัดไปเดินธุดงค์ว่า
ของกัปปยิการกที่ท่านแผนทำบาญชีไว้ ให้เด็กเก็บไว้นั้น ให้โยมเอี่ยนกับโยมแย้มพร้อมกัน เอาออกตรวจดูยังเหลืออยู่เท่าไร ให้เอาสร้างพระนอนในถ้ำที่ฉันทำไว้นั้นให้หมด แล้วอุทิศไปให้ฉันด้วย จึงถือว่าเอาว่าเป็นการสร้างพระรูปปางไสยาสน์เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ นั้น
ภายในถ้ำมีพระพุทธรูป ปางสมาธิ ๒ องค์ หน้าตักขนาดศอกเศษ และปางมารวิชัย หน้าตักประมาณศอกคืบ อีก ๓ องค์
มีรอยพระพุทธบาทจำลอง หล่อด้วยทองเหลือ ขนาดกว้าง ๑ ศอก ยาว ๓ ศอก หย่อนฝ่ามือ
พระพุทธไสยาสน์ที่สถิตอยู่ในถ้ำสว่างเขากระจิว มีคำจารึกเป็นรอยปูนปั้นไว้ที่หมอนสามเหลี่ยมหนุนแขนพระพุทธรูปไสยาสน์ ว่าดังนี้
ที่ขอบหมอนด้านซ้ายว่า วัดบรรพตาวาศ พ.ศ.๒๔๗๔
ที่ขอบหมอนด้านขวาว่า รัตนโกสินทร์ศก ๑๕๐
ที่ขอบหมอนด้านล่างว่า ปีมะแม ๑๓ เดือน ๔ พ.ศ. ๗๔ จ.ศ.๑๒๙๓ (คงจะหมายว่าปีที่สร้างเสร็จ คือปีมะแม วันที่ ๑๓ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ จ.ศ.๑๒๙๓ ซึ่งเป็นปลายปี เพราะสมัยนั้น นับเมษายน เป็นต้นปี
ตรงกลางหมอนจารึกพระนามว่า “พระพุทธไสยาสน์ ธรรมรังษี”
ขนาดของพระพุทธไสยาสน์ ยางประมาณ ๕ เมตร สูงประมาณ เมตรครึ่ง
ต่อไปเมื่อออกจากถ้ำสว่างแล้วจะมีทางเดินสูงขึ้นไปอีกนิดก็จจะเข้าสู่ถ้ำมืด ภายในถ้ำนี้ต้องมีไฟฉายที่สว่างมาก ๆ ติดตัวเข้าไปด้วยจะพบได้ว่ามีพระพุทธรูปบางสมาธิบ้าง มารวิชัยบ้าง มากมายเยอะแยะ สร้าง